"อะโวคาโด" จืดๆ มันๆ ครบครันคุณค่า
by Health Fit with Chloe | Chloe Channelสวัสดีคะทุกคน Health Fit with Chloe อยากแบ่งปันเนื้อหาดีๆ จากนิตยสาร Men's Health ฉบับ July 2016 มาฝากกันคะ
ผลไม้ที่มีรูปร่างเหมือนลูกแพร์ ฐานลูกป้าน เปลือกสีเขียว เนื้อสีเขียวอมเหลือง รสชาติจืดๆ มันๆ นำพาให้หลายคนเมินเพราะไม่มีรสชาติ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วล้วนอุดมไปด้วยไขมันและวิตามิน จากผลไม้ที่ไม่มีใครสนใจกลับกลายเป็นผลไม้สุขภาพยอดฮิตอีกชนิดของยุคนี้
หลากหลายพันธุ์จากเม็กซิโก
อะโวคาโดเป็นต้นไม้พื้นเมืองดั้งเดิมที่มีต้นกำเนิดจากเม็กซิโก เป็นไม้ยืนต้น ถ้าโตเต็มที่จะสูงถึง 18 เมตร สเปนเป็นผู้ค้นพบเมื่อครั้งไปรุกรานอเมริกาใต้และนำมาเผยแพร่ ปัจจุบันนิยมปลูกในภูมิอากาศเขตร้อนทั่วโลก เช่น นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย ชิลีและบางพื้นที่ในเขตอบอุ่นของอเมริกา เช่น รัฐแคลิฟอร์เนีย สำหรับในบ้านเรา มิชชันนารีชาวอเมริกันนำมาปลูกครั้งแรกที่จังหวัดน่าน และมีหน่วยงานอื่นๆ นำไปปลูก โดยเฉพาะโครงการหลวง ในระยะแรกเนื้อจะไม่มันและมีน้ำมาก แต่ปัจจุบันพัฒนาขึ้นมากจนเกือบเทียบเท่าต่างประเทศได้
ผลไม้ชนิดนี้อาจจะแปลกกว่าชนิดอื่นๆ เพราะมีหลากหลายพันธุ์ ทำให้อะโวคาโดมีทั้งทรงเหมือนลูกแพร์ ลูกเล็กเท่าไข่ไก่ ลูกใหญ่ยักษ์หนักเป็นกิโล เปลือกมีหลากหลายสี เช่น สีเขียวเข้ม สีเขียวอมม่วง สีแดงเลือดหมู สีเหลือง แม้แต่สีดำก็มี มีทั้งผิวเรียบ ผิวขรุขระ ชนิดที่เห็นบ่อยในบ้านเรามักจะเป็นทรงลูกแพร์และผิวขรุขระ หรือลูกใหญ่ผิวสีเขียวเรียบ แต่เนื้อข้างในจะสีเขียวอมเหลืองเหมือนกัน
อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่แปลกตรงที่จะไม่สุกบนต้น ทว่าพอลูกโตเต็มที่แล้วจะตัดจากต้นเท่านั้นจึงจะสุก เพราะฉนั้นเมื่อคุณไปซื้อจะยังไม่สุก ต้องนำมาพักหรือบ่มโดยห่อกระดาษไว้ (ห้ามใส่ตู้เย็น) เมื่อสุกแล้วผิวจะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเขียวอมม่วงหรืออมน้ำตาล ถ้าสุกเกินไปผิวจะกลายเป็นสีน้ำตาล เนื้อก็จะละช้ำ วิธีสังเกตให้กดเนื้อดูจะรู้สึกว่านิ่มและขั้วหลุดออก ถ้าไม่สุกเนื้อจะฝาดแข็งและมียาง ความอร่อยและวิตามินต่างๆ จะอยู่ที่เนื้อจืดๆ ของมันนี้เอง
อุดมด้วยวิตามิน
แม้จะมีการบันทึกว่าสเปนรู้จักอะโวคาโดตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 แต่ยังไม่มีใครรู้จักหรือสนใจ ด้วยเพราะเป็นผลไม้รสจืด ผู้คนเพิ่งหันมานิยมกินกันในอเมริกาเมื่อศตวรรษที่ 20 นี้เอง อาจจะเพราะมีการค้นพบทางโภชนการว่าเป็นผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง อุดมไปด้วยโพแทสเซียมและโฟเลต ทั้งยังมีวิตามินบี 2 วิตามินบี 6 วิตามินซีและธาตุแมงกานีสอยู่พอสมควร
วิตามินอีจะช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื่นส่วนวิตามินซีและอีถือเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับอันตรายจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวก่อมะเร็งบางชนิด ส่วนโพแทสเซียมจะช่วยควบคุมความดันโลหิต ทำให้หัวใจเต้นเป็นปกติ รวมทั้งรักษาสุขภาพของระบบประสาท
ไขมันในอะโวกาโดเป็นไขมันเดียวกับน้ำมันมะกอก คือเป็นกรดไขมันอิ่มตัวตำแหน่งเดียวซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้
และสำหรับแฟนสาวคุณ ไขมันและวิตามินชนิดนี้สามารถช่วยให้ผมของเธอดกดำและเงาเป็นมันอีกด้วย แต่ไขมันนี้ก็ให้พลังงานสูง ฉะนั้นคนที่ควบคุมน้ำหนักจึงต้องรับประทานอย่างระมัดระวัง เพราะอะโวคาโดครึ่งลูกให้พลังงานสูงถึง 190 - 280 แคลอรี่ จึงเป็นผลไม้ที่ไม่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักหรือลดความอ้วน
อร่อยได้หลากหลาย
แม้ว่าเนื้ออะโวคาโดจะจืดๆ มันๆ แต่ก็นำมาทำอาหารอร่อยได้หลากหลาย โดยเฉพาะอาหารเม็กซิกันซึ่งเป็นต้นกำเนิดจึงไม่ต้องแปลกใจถ้าคุณจะเห็นรูปอะโวคาโดอยู่ในเมนูแนะนำตามร้านอาหารเม็กซิกัน อาหารยอดฮิตที่ถือว่าเป็นอาหารสามัญและกินกันทั่วประเทศ คือ กัวคาโมเล ซึ่งจะเรียกว่าเครื่องจิ้มก็ได้
วิธีทำ
นำอะโวคาโดสุกมาบี้และผสมกับหัวหอมใหญ่ มะเขือเทศหั่นเต๋า ใส่พริก มะนาว เกลือ และคลุกเคล้ากับเนื้ออะโวคาโดให้เข้ากัน แล้วโรยหน้าด้วยผักชี
วิธีรับประทาน
- กัวคาโมเลมีหลากหลาย ตั้งแต่จิ้มกับนาโช (แผ่นแป้งกรอบชิ้นสามเหลี่ยมคล้ายข้าวเกรียบ แต่ทำจากแป้งข้าวโพด)
- ตัดราดข้าวกินกับเนื้อ
- ใส่ในทาโก
- ราดหน้าข้าวผัดเม็กซิกัน
เรียกได้ว่ากินตามใจชอบคล้ายกับน้ำจิ้มของบ้านเราและมักจะอยู่ในมื้ออาหารเป็นประจำ
ต่อมาเมื่อคนเริ่มฮิตก็นำไปทำเมนูต่างๆ ตั้งแต่ ทำซุป ไอศกรีม เชฟชาวญี่ปุ่นเมื่อไปถึงอเมริกาก็นำอะโวคาโดวางบนหน้าข้าวซูชิ แคลิฟอร์เนียโรลบนหน้าเบอร์เกอร์เนื้อ เพื่อเวลาเคี้ยวจะได้ชุ่มฉ่ำจากเนื้อมันๆ กินกับสลัด ใส่แซนด์วิช หรือแม้กระทั่งวางอยู่บนหน้าเค้ก และผลิตภัณฑ์สุขภาพยอดฮิตอย่างน้ำมันอะโวคาโด หรือ Avocado Oil
ประเทศแรกที่ผลิตน้ำมันอะโวคาโดคือนิวซีแลนด์ สีของน้ำมันเป็นสีเขียวลักษณะข้นกลิ่นหอม วิธีสกัดจะค่อนข้างยุ่งยากเพราะต้องใช้คนเก็บทีละลูกเพื่อไม่ให้ช้ำ นำมาพักไว้ให้สุกและผ่านกรรมวิธีสกัดเย็นในเครื่องสกัดที่ควบคุมไม่ให้มีความร้อนเกินไปขณะเครื่องทำงาน ผลอะโวคาโดปริมาณ 10 - 17 กิดลกรัม จะสกัดน้ำมันได้เพียง 1 ลิตร
หลายคนนิยมนำน้ำมันอะโวคาโดมากินกับขนมปังเหมือนกับน้ำมันมะกอกสไตล์อิตาเลียน หรือไม่ก็เหยาะลงในสลัดเพื่อให้มีความมันอร่อย ที่ข้อสำคัญคือห้ามโดนความร้อน
แต่สำหรับบางคนที่ชื่นชอบความเป็นธรรมชาติ แค่รอให้อะโวคาโดสุก ใช้มีดผ่าครึ่งรอบลูกจนถึงเม็ดใน ใช้มือจับและบิด อะโวคาโดก็จะหลุดจากกันเป็นสองชิ้น แค่เกลี่ยเอาเม็ดออก ถ้าสุกพอเม็ดจะหลุดออกได้ง่ายดาย และใช้ช้อนตักเนื้อจืดๆ มันๆ เข้าปากเคี้ยว ก็อร่อยได้อย่างไม่ต้องปรุงอะไรเพิ่มอีก
แนะนำเมนูอร่อย
กัวคาโมเล (Guacamole)
ส่วนผสม
- อะโวคาโดสุกงอม 2 ผล
- หอมหัวใหญ่หั่นเต๋าเล็ก 1/2 ลูก
- เนื้อมะเขือเทศหั่นเต๋า 1-2 ลูกใหญ่
- น้ำมะนาว
- พริก
- เกลือ
- ผักชี
วิธีทำ
ผ่าและตักเนื้ออะโวคาโดใส่ชาม บี้เบาๆ ให้พอเละ ใส่หอมหัวใหญ่ มะเขือเทศ พริก มะนาว เกลือ คลุกให้เข้ากัน ชิมรส (ควรจะเปรี้ยวและเผ็ดนิดๆ) โรยผักชีปิดท้าย
เคล็ดลับ
เมื่อทำเสร็จแล้วให้ใส่เม็ดอะโวคาดดลงไปในกัวคาโมเลด้วย จะทำให้อะโวคาโดมีสีเขียวน่ากินไม่เปลี่ยนสี แล้วแร็ปด้วยฟิล์มถนอมอาหาร แช่ตู้เย็นไว้ นำมากินกับขนมปังปิ้งก็ได้ / เมื่อผ่าแล้วเนื้ออะโวคาโดจะเปลี่ยนสี ให้คุณซอยหอมแดงไว้ในเนื้อที่เขี่ยเม็ดออก แล้วแร็ปแช่ตู้เย็นไว้ จะทำให้ไม่เปลี่ยนสี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น