40 อาหารยอดเยี่ยม + ยอดแย่ | 40 Great Food + Bad Food
by Health Fit with Chloe | Chloe Channel
Health Fit with Chloe อยากแนะนำ 40 รายการอาหารยอดเยี่ยมและอาหารยอดแย่ จากนิตยสาร Men's Health ฉบับ September 2016 คะ
กระแสความนิยมในเรื่องของอาหารยุคนี้เปลี่ยนเร็วยิ่งกว่าแฟชั่นเสื้อผ้าเสียอีก และผลการวิจัยทางด้านสุขภาพที่พลิกผันไปมา ก็ทำให้อาหารยอดเยี่ยมกลายเป็นอาหารยอดแย่ได้ในพริบตา
*** 20 อาหารยอดเยี่ยม ***
การ "กินดี" ไม่ได้แปลว่า คุณจะมีความสุขกับการกินและได้ประโยชน์ด้านสุขภาพจากอาหารที่กินไปพร้อมๆ กันไม่ได้ และการปรับเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้คุณได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ด้วย
ผู้เชี่ยวชาญของเรา
- ดร. ลอรา โทมัส ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารมังสาวิรัติ
- ริอันนอน แลมเบิร์ต ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต (โดยเฉพาะะัญพืชและข้าวโอ๊ต)
1. เนยถั่ว
ถ้าคุณรู้จักเนยถั่วที่ซื้อว่าอุดมด้วยกากใยอาหาร (จึงทำให้อยู่ท้อง) ไม่ใช่เพราะมีปริมาณแคลอรี่สูงและหวานเกินไป มีผลงานวิจัยมากมายชี้ว่า เนยถั่วมีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามิน B6 ซึ่งช่วยเสริมภูมิคุ้มกันในระดับสูง โดยให้เลือกเนยถั่วที่มีส่วนผสมแค่ 2 อย่าง คือถั่วลิสงกับเกลือ และเลี่ยงเนยถั่วที่มีส่วนผสมของน้ำมันปาล์มหรืออีมัลซิไฟเออร์ (สารลดแรงตึงผิว)
2. ไส้กรอกเลือด
ไส้กรอกเลือดเป็นอาหารเช้าที่ฝรั่งนิยมกิน ถือเป็นอาหารยอดเยี่ยมอย่างหนึ่ง เพราะส่วนผสมหลักของไส้กรอกคือเลือดหมูกับข้าวโอ๊ต จึงอุดมไปด้วยโปรตีน โพแทสเซียม แมกนีเซียม แคลเซียมและใยอาหารยิ่งถ้าเป็นยี่ห้อของผู้ผลิตที่ใช้เลือดหมูสดๆ จะยิ่งทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารในปริมาณที่เหมาะสม
3. นมครบส่วน
ผลงานวิจัยล่าสุดจากสแกนดิเนเวียหักล้างความเชื่อเดิมๆที่ว่า ไขมันอิ่มตัวมีผลเสียต่อสุขภาพ โดยชี้ว่าผลิตภัณฑ์นมไขมันสูงไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเป็นโรคอ้วนอย่างที่เข้าใจกัน คุณจึงควรหันมาดื่มนมครบส่วนแทนนมพร่องมันเนย หรือขยับขึ้นอีกขั้นโดยหันมาดื่มน้ำนมดิบที่ไม่ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อด้วยความร้อนซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหาร
4. เนื้ออบแห้งปรุงรส
เนื้ออบแห้งปรุงรสทั่วไปมีโปรตีนไม่ต่ำกว่า 50% จึงเหมาะที่จะกินหลังเข้ายิม และถ้าเทียบกับมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบปริมาณเท่ากัน เนื้ออบแห้งปรุงรสก็มีแคลอรี่แค่ครึ่งเดียวและมีไขมันประมาณ 1 ใน 8 ส่วนเท่านั้น
5. สาหร่ายแห้งอัดแผ่น
สาหร่ายแห้งคืออาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีนแต่แคลอรี่ต่ำ ซูชิโรลหรือข้าวห่อสาหร่าย 1 ชิ้น มีไอโอดีนช่วยกระตุ้นการเผาผลาญถึงเกือบ 2 ใน 3 ส่วน ของปริมาณที่ควรบริโภคในแต่ละวัน (92 จาก 150 ไมโครกรัม) ฉะนั้นถ้ากินเป็นมื้อกลางวัน คุณก็ใช้เป็นข้ออ้างในการกินมื้อเที่ยงที่ทำงานได้เลย
6. คีเฟอร์
คีเฟอร์ (นมบัวหิมะ) คือผลิตภัณฑ์นมหมักที่มีปริมาณวิตามิน B1 B12 และวิตามิน K สูงกว่านมที่ใช้ทำ บาร์นาร์ดบอกว่านมหิมะยังมีส่วนประกอบของโปรไบโอติกที่ช่วยย่อยด้วย หลังกินมื้อเย็นคุณจึงควรล้างปากด้วยนมบัวหิมะแทนโยเกิร์ต
7. ถั่วแระ
"ถั่วแระมีสารไอโซฟลาโวนที่ช่วยลดการสะสมตะกรันไขมันที่ผนังหลอดเลือดแดง ปริมาณแค่ 100 กรัม ก็มีโปรตีน ใยอาหาร เหล็ก แมกนีเซียม แมงกานีส ฟอสฟอรัส ไทอามีน โฟเลตและวิตามิน K ถึง 20-40% ของปริมาณที่ควรบริโภคในแต่ละวัน" แลมเบิร์ตกล่าว ถ้าขี้เกียจแกะดองจะซื้อแบบแช่แข็งที่แกะเมล็ดให้เรียบร้อยแล้วมากินแทนก็ได้
8. อินเดียเพลเอล
ผลวิจัยล่าสุดของจีนชี้ว่า เบียร์ที่มีส่วนผสมของฮอปในปริมาณสูงอย่าง IPA (India Pale Ale) ช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อมได้ เพราะสารประกอบที่เรียกว่า แซนโทฮูมอล ในเบียร์ประเภทนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ประสาทถูกทำลาย คราวนี้ก็มีข้ออ้างที่จะดื่มคราฟต์เบียร์เพื่อสุขภาพแล้วสิ
9. กะหล่ำปลีดอง
"นอกจากอุดมด้วยสารอาหาร กะหล่ำปลีดองยังดีต่อระบบย่อยอาหารด้วย" แลมเบิร์ตบอกเพราะการดองเกลือจะกระตุ้นการเพิ่มจำนวนของแบคทีเรียชนิดที่ช่วยให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้นจึงช่วยย่อยโปรตีนซึ่งคุณเพิ่มปริมาณการบริโภคเพื่อใช้เป็นพลังงานในการออกกำลังกาย
10. ธัญพืชเพาะงอก
บาร์นาร์ดเขียนไว้ในหนังสือ Eat Right ของตัวเองว่า "ถ้าเทียบธัญพืชในช่วงอายุอื่น ต้นอ่อนธัญพืชและแป้งที่ทำจากธัญพืชเพาะงอกก็มีรสชาติที่ดีกว่า แถมยังมีโปรตีน วิตามิน เกลือแร่และเอนไซม์ในปริมาณสูงกว่าด้วย" คุณจึงควรจะหัดเพาะโดยแช่เมล็ดธัญพืชในน้ำเกลือเป็นเวลา 12 ชั่วโมง จากนั้นจึงผึ่งให้แห้ง
11. สกอตวิสกี้
นักวิทยาศาสตร์ของญี่ปุ่นบอกว่าสกอตวิสกี้คุณภาพดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากทีเดียว เพราะมีสารประกอบฟีนอลิกที่ดูดซึมจากถังไม้โอ๊คที่ใช้บ่มอย่างกรดเอลลาจิกซึ่งดีต่อสุขภาพลำไส้และยังอาจจะช่วยลดโอกาสในการเป็นมะเร็งด้วย
12. บีตรูต
ผลวิจัยมากมายซึ่งตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา ชี้ว่าไนเตรทในบีตรูตช่วยเพิ่มสมรรถนะในการออกกำลังกายหลังเปลี่ยนรูปเป็นไนตริกออกไซด์โดยเอนไซม์ที่มีอยู่ในน้ำลายของเรา การดื่มน้ำบีตรูตสกัดเย็นจึงเป็นวิธีที่ดีกว่าการกินอาหารเสริม
13. ขนมปังแป้งหมัก
ผลการวิจัยชี้ว่าถ้าเทียบกับการกินขนมปังซึ่งได้จากกระบวนการผลิตเชิงพาณิชย์ ปฏิกริยาตอบสนองต่อกลูโคสและอินซูลินของร่างกายที่เกิดจากกินขนมปังหมักจึงควรเป็นส่วนหนึ่งของการควบคุมอาหารแบบคาร์โบไฮเดรต ซึ่งนอกจากทำให้รสชาติขนมปังดีแล้ว กรรมวิธีการหมักที่ต้องใช้เวลา (และเปลือกของขนมปังที่เคี้ยวยากกว่า) ยังทำให้ร่างกายย่อยกลูเตนจากขนมปังได้ง่ายอีกด้วย
14. ผักกาดฮ่องเต้
ถึงแม้จะมีปริมาณน้ำสูงและมีแคลอรี่เพียงแค่ 13 แคลอรี่ต่อ 100 กรัม นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยออริกอนสเตทชี้ว่าผักตระกูลกระหล่ำนี้อุดมด้วย ซัลโฟราเฟน ซึ่งเป็นสารประกอบ (พบในบรอกโคลีด้วย) ที่มีคุณสมบัติด้านการต้านมะเร็ง
15. เนื้อแพะ
ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรแห่งสหรัฐฯ ชี้ว่าเนื้อแพะมีปริมาณไขมันและแคลอรี่ต่ำกว่าเนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ และรสชาติก็เข้มข้นกว่าด้วย จึงช่วยสนองความหิวได้ในปริมาณที่น้อยกว่า
16. น้ำผึ้งดิบ
"น้ำผึ้งดิบที่ได้จากรังผึ้งโดยไม่ผ่านกระบวนการกรองคือแหล่งความหวานที่ดีต่อสุขภาพมากกว่า เพราะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ไม่พบในน้ำผึ้งซึ่งได้จากกระบวนการผลิตเชิงพาณิชย์ หรือน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์และน้ำตาลฟอกสี" ดร.โทมัสกล่าว
17. อัลมอนด์
ผลวิจัยซึ่งตีพิมพ์โดย International Society of Sports Nutrition ในปี 2014 เผยว่าสารอาหาร (ไรโบฟลาวิน แมกนีเซียม แมงกานีส) ที่พบในอัลมอนด์ มีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ออกซิเจนของร่างกาย และถ้าจะให้ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ คุณก็ควรจะกินอัลมอนด์แบบที่ยังไม่ได้ลอก
18. ผักผลไม้อบกรอบ
"ผักผลไม้อบกรอบมีปริมาณไขมันและคาร์โบไฮเดรตต่ำ และยังถือเป็นผักผลไม้ 1 ใน 5 ส่วนที่ควรบริโภคในแต่ละวันด้วย" แลมเบิร์ตกล่าว "เพราะเทคนิคการอบแห้งแบบเยือกแข็งจะทำให้ผลไม้ยังคงมีสารอนุมูลอิสระ โพแทสเซียมและใยอาหารซึ่งดีต่อสุขภาพ"
19. กะหล่ำดาว
"ผลวิจัยชี้ว่ากะหล่ำดาวหรือผักที่ช่วยให้ตับทำหน้าที่ขจัดสารพิษได้ดีขึ้น" ดร. โทมัสกล่าว "ช่วยขจัดสารก่อมะเร็งในเนื้อสัตว์ที่สุกเกรียมและกระตุ้นกลไกการซ่อมแซมดีเอ็นเอของร่างกายด้วย" (ถ้าเป็นกะหล่ำดาวออร์แกนิก คุณจะยิ่งได้ประโยชน์อย่างเต็มที่)
20. ไข่เป็ด
ผลวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาได้หักล้าง ความเชื่อที่ว่าไข่มีส่วนทำให้เกิดโรคหัวใจ โดยชี้ว่าโปรตีนในไข่ (ซึ่งทำให้รู้สึกว่าอยู่ท้อง) จะช่วยให้เราควบคุมน้ำหนักได้ ลูทีนและซีแซนทินปริมาณสูงในไข่ยังดีต่อสุขภาพดวงตาอีกด้วย และการเปลี่ยนมากินไข่เป็ดแทนไข่ไก่ จะทำให้คุณได้ประโยชน์จากไข่อย่างเต็มที่
*** 20 อาหารยอดแย่ ***
การยืดมั่นถือมั่นในเรื่องของอาหารคือพฤติกรรมที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของคุณ เพราะอาหารที่เคยเชื่อกันว่ามีคุณค่าทางโภชนาการอาจจะไม่ดีจริงหรือถึงขนาดให้โทษเลยทีเดียว
1. ต้นอ่อนข้าวสาลี
สมาคมนักกำหนดอาหารของอังกฤษเผยว่าน้ำคั้นจากต้นอ่อนต้นข้าวสาลี ไม่ได้ดีอย่างที่คิด เพราะยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุน คำกล่าวอ้างในเรื่องของการป้องกันการอักเสบหรือการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง และถ้าเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ น้ำคั้นจากต้นอ่อนข้าวสาลีก็ไม่ได้มีคุณค่าโภชนการมากกว่าผักโขมหรือบรอกโคลีด้วย
2. สลัดสำเร็จรูป
สลัดสำเร็จรูปไม่ได้ช่วยทำให้สุขภาพดี เพราะเป็นสลัดที่ีปริมาณแคลอรี่สูง แถมน้ำสลัดที่ให้มาก็มีปริมาณน้ำตาลสูงด้วย แลมเบิร์ตจึงแนะนำให้เช็ครายการส่วนผสมในฉลากที่แปะอยู่บนสลัดแต่ละกล่อง แล้วค่อยเลือกซื้อมากิน
3. อิทผลัม
4. ถั่ววาซาบิ
5. ผักเคล
"ผักเคลอุดมด้วยวิตามิน A B6 C และ K" แลมเบิร์ตยอมรับ "แต่ผักชนิดนี้ก็มีปริมาณราฟฟิโนสสูงเช่นกัน ซึ่งน้ำตาลชนิดที่ย่อยยากนี้อาจทำให้ท้องอืด สารกอยโตรเจนในใบยังอาจขัดขวางการดูดซึมไอโอดีนในต่อมไทรอยด์จนทำให้มีอาการอ่อนเพลียและน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นด้วย'
6. แครอตดิบ
ใครๆ ก็รู้ว่าแครอตดิบเหมาะที่จะกินเป็นผักจิ้มฮัสมุส แต่ถ้านำไปผัดเนย แครอตกลับให้คุณค่าทางโภชนการมากกว่า "แครอตดิบมีเบต้าแคโรทีนแค่ประมาณ 3%" บาร์นาร์ดบอก "แต่ถ้านำไปผัดโดยใช้เนยคุณภาพดี ตัวเลขนี้จะเพิ่มเป็น 10 เท่าเลยทีเดียว"
7. น้ำมันมะพร้าว
ถึงจะยังไม่ค่อยมีผลวิจัยที่เชื่อได้ในเรื่องประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าว แต่เราก็รู้ว่าถ้าเทียบกรัมต่อกรัม น้ำมันมะกอกชนิดบริสุทธิ์พิเศษมีปริมาณแคลอรี่ต่ำกว่า และมีปริมาณ "ไขมันดี" สูงกว่า โดยเฉพาะยี่ห้อที่ทำจากมะกอกกรีกซึ่งมีปริมาณสารโพลีฟีนอลที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันสูงที่สุด
8. เก๋ากี๋
หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชี้ว่าเก๋ากี๋หรือโกจิเบอร์รี่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและการทำงานของสมอง ช่วยป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง รวมถึงช่วยเพิ่มอายุขัย ทว่ายังไม่ผ่านการรับรองจากสมาคมนักกำหนดอาหารของอังกฤษ ฉะนั้นคำแนะนำก็คือ "คุณควรจะกินผักผลไม้หลายๆ ชนิด ไม่ใช่ทุ่มเงินให้กับผักผลไม้แค่ชนิดเดียวที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ว่ามีประโยชน์จริงอย่างเก๋ากี๋"
9. น้ำส้มคั่น
ข้อมูลใร Fat Chance ของ ดร.โรเบิร์ต ลัสติก และผลวิจัยที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2013 ชี้ว่าน้ำส้มคั้นไม่ได้มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างที่เราเชื่อกัน เพราะเป็นเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลสูง ไม่มีใยอาหาร แถมมีปริมาณแคลอรีสูงกว่าเบียร์เสียอีก คุณจึงควรจะกินส้มเป็นลูกๆ มากกว่า
10. แตงกวา
แม้จะมีปริมาณแคลอรี่ต่ำ แต่แตงกวาก็เป็นผักที่มีโพแทสเซียม แมกนีเซียมและวิตามิน C ไม่ถึ 5% ของปริมาณที่ควรบริโภคในแต่ละวัน ถ้าไม่อยากเสียเวลาเคี้ยว คุณควรจะเลิกใส่แตงกวาในแซนด์วิช แล้วเปลี่ยนมาใส่ใบเพอร์สแลนแทน เพราะนอกจากจะอุดมไปด้วยกรดไลโนเลอิกซึ่งดีต่อสุขภาพหัวใจ ผักชนิดนี้ยังมีปริมาณเบต้าแคโรทีนสูงกว่าผักโขมด้วย
11. กราโนลา
"กราโนลาที่ขายตามซุปเปอร์มาเก็ตมักอุดมไปด้วยน้ำตาลที่เป็นเหมือนซอสเคลือบและผลไม้อบแห้งที่ใส่ลงไป" แลมเบิร์ตเตือน "ถ้าคุณซื้อมากินฟรุคดตสส่วนเกินจะเปลี่ยนรูปเป็นวีแอลดีแอลหรือคลอเลสเตอรอล ที่มีปริมาณไตรกลีเซอไรด์สูง จึงทำให้เกิดการสะสมไขมันในร่างกาย" ฉะนั้นถ้าไม่อยากให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินไป คุณควรซื้อแบบที่ไม่มีผลไม้อบแห้งและหั่นกล้วยใส่ลงไปแทน
12. น้ำมะพร้าว
"ผลวิจัยชี้ว่าการดื่มน้ำเปล่าหลังออกกำลังกายช่วยป้องกันภาวะร่างกายขาดน้ำได้ดีไม้แพ้การดื่มน้ำมะพร้าวเลย" แลมเบิร์ตบอก "ถึงจะมีสารอิเล็กโทรไลต์ แต่น้ำมะพร้าวก็มักจะมีปริมาณน้ำตาลสูง ถ้ากลัวว่าจะได้ไม่คุ้มเสียคุณควรจะเช็ครายการบนฉลากให้ดีก่อน ยี่ห้อที่ซื้อมาดื่มควรจะมีส่วนผสมแค่รายการเดียว นั่นคือน้ำมะพร้าว"
13. อาไซอิเบอร์รี่
เราเชื่อกันว่าอาไซอิเบอร์รี่มีประโยชน์มากมายแต่กระแส "สุดยอดอาหารเพื่อสุขภาพ" ของผลไม้ชนิดนี้ก็ยังไม่ค่อยมีผลงานวิจัยรองรับ และถ้าพิจารณาในแง่ของปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระ แลมเบิร์ตบอกว่า "ซื้อลูกบลูเบอร์รี่กินดีกว่า จะได้ไม่ต้องไปหาซื้ออาไซอิเบอร์รี่สดถึงบราซิล"
14. แอปริคอตอบแห้ง
"ผลไม้อบแห้งส่วนใหญ่มีปริมาณน้ำตาลสูงกว่าผลไม้เดียวกันถึง 3 เท่า" แลมเบิร์ตกล่าวว่า "ด้วยขนาดที่เล็กกว่าทำให้คุณกินได้ถึง 5 ลูก ไม่ช่ 1 ลูกเหมือนกรณีผลไม้สด ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้รับฟรุคโตสมากเกินไป สารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ผู้ผลิตใส่ลงไป เพื่อให้แอปริคอทอบแห้งมีสีส้มสวยยังสามารถทำให้คนเป็นโรคหอบหืดแสดงอาการได้ทันที" ฉะนั้นถ้าอยากกินแบบอบแห้งจริงๆล่ะก็ คนที่เป็นโรคหอบหืดควรซื้อแบบออร์แกนิกมากิน
15. แซลมอนเลี้ยง
ดร. โทมัส ไม่แนะนำให้กินแซลมอนเลี้ยง เพราะ "ทำให้สภาวะแวดล้อมมีแต่สารมลพิษที่มีส่วนเกี่ยวโยงกับกสนเป็นโรคเบาหวาน" ถ้าเทียบกับแซลมอนธรรมชาติ แซลมอนที่เลี้ยงแบบเร่งโตมีปริมาณไขมันอิ่มตัวสูงกว่าถึง 3 เท่า (เพราะเจ้าของฟาร์มเลี้ยงด้วยอาหารที่อุดมไปด้วยไขมัน) และปริมาณแคลอรี่สูงกว่าถึง 40% ด้วย
16. น้ำเชื่อมอากาเว
ดร. โทมัสบอกว่า "น้ำเชื่อมอากาเวมีคุณสมบัติทางเคมีคล้ายกับน้ำเชื่อมข้าวโพดชนิดฟรุคโตสสูง แต่ในขณะที่กลูโคสถูกนำไปใช้โดยทุกเซลล์ในร่างกาย ฟรุคโตสกลับถูกเผาผลาญโดยตับเท่านั้น" พอตับเริ่มทำงานหนักไป ฟรุคโตสส่วนใหญ่ที่ร่างกายได้รับก็จะเปลี่ยนเป็นไขมัน "เลิกกินน้ำเชื่อมอากาเว" แลมเบิร์ตแนะ "แล้วหันมากินนำ้ผึ้งธรรมชาติและน้ำเชื่อมเมเปิลแท้ดีกว่า"
17. ไอศครีมโยเกิร์ต
"ไอศกรีมโยเกิร์ตไม่ใช่ผลิตภัณฑ์นมที่ดีต่อสุขภาพ" แลมเบิร์ตกล่าว "เพราะกระบวนการแช่แข็งมักจะทำลายแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ และหลายยี่ห้อ ก็มีส่วนผสมของน้ำตาลไม่น้อยเลยด้วย" แลมเบิร์ตจึงแนะนำให้เพิ่มปริมาณโปรตีนที่ร่างกายจะได้รับ โดยกินไอศรีมที่มีส่วนผสมของโปรตีนเวย์แทนไอศกรีมโยเกิร์ต
18. นมอัลมอนด์
"แม้จะไม่ได้เหมารวมทั้งหมด แต่นมอัลมอนด์หลายยี่ห้อก็หวานจัดและมีคุณค่าทางโภชนาการตามธรรมชาติน้อยมาก คือถ้าไม่ใช่นมอัลมอนด์เสริมวิตามินก็จะไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรเลย" แลมเบิร์ตกล่าว ถ้าพิจารณาจากตัวเลือกที่มีคุณควรจะเปลี่ยนจากผลิตภัณฑ์นมอัลมอนด์ที่ดื่มเป็นนมถั่วเหลือง ซึ่งมีปริมาณโปรตีนและแคลเซียมสูงกว่ามากทีเดียว
19. ข้าวโพดคั่ว
ข้าวโพดคั่วยังห่างไกลจากการเป็นอาหารว่างที่มีคุณค่าทางโภชนาการ แลมเบิร์ตบอกว่าปัญหาคือ "การใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่ทำให้ผู้บริโภคหลงเชื่อว่าข้าวโพดคั่วแบบหวานดีต่อสุขภาพ ทั้งๆที่มีปริมาณน้ำตาลและเกลือสูง บางยี่ห้อก็มีปริมาณแคลอรี่พอๆ กับน้ำอัดลมอีกต่างหาก" นั่นแปลว่ากินเฉพาะตอนไปดูหนังก็พอ
20. เส้นซูกินี
"ซูกินีมีปริมาณโพแทสเซียมและวิตามิน C ค่อนข้างสูง แต่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตซึ่งยังจำเป็นต่อร่างกายค่อนข้างต่ำ" แลมเบิร์ตกล่าว "เพราะสมองของมนุษย์เราใช้กลูโคสจากคาร์โบไฮเดรตในการสร้างเซโรโทนิน ถึงกรดอะมิโนทริผโตฟานในซูกินีจะมีส่วนในเรื่องนี้ แต่ถ้าไม่มีคาร์โบไฮเดรต ทริปโตฟานในเลือดก็ผ่านสู่เซลล์สมองไม่ได้"
#อาหารยอดเยี่ยม #อาหารยอดแย่ #Healthfitwithchloe #chloechannel #คนรักสุขภาพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น